อนาคตของชาติจะฝากไว้กับใคร…? เมื่อเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี ริแต่งงาน !!!
18:02 |
เขียนโดย
krapalm |
แก้ไขบทความ
เมื่อเด็กไทย มีค่านิยมแปลกๆ จากเดิมที่เด็กประถมหรือแม้แต่มัธยม หน้าที่หลักของพวกเขาคือการรีบตื้นนอนแต่เช้า เพื่อไปโรงเรียน แต่บันนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว จากการได้พูดคุยกับเจ้าน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน วัยเพียง 16 ปี ของผมพร้อมเพื่อนชาวแก๊งของพวกเธอ ซึ่งวันที่ผมได้คุยกับน้องๆ เค้านั้น ตรงกับวันพฤหัสบดี วันที่ 22 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 บ้านผมเองติดกับบ้านของน้า(พ่อของน้องสาว) ผมสังเกตเห็นว่าเปิดเทอมแล้วทำไมไม่ไปโรงเรียนกันทั้งๆ ก็ใส่ชุดนักเรียนก็เลยเดินเข้าไปถามน้องๆตอบว่าวันนี้ขี้เกียจไปเรียนเลยนัดกันโดนเรียนทั้งแก๊งประมาน 6 คน ซึ่งผมก็งงมากที พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมก็เลยขอพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับน้องๆ ผมขอวิจารณ์ไปทีละคำถามที่ผมถามน้องๆ เลยแล้วกันครับ
กลายเป็นเรื่องที่ไม่สมดุลไปซะแล้ว สำหรับปัญหา คนที่อยากเรียนบางคนไม่มีโอกาสได้เรียน แต่บ้างคนมีเงินทอง เกินพอที่จะนำมาใช้จ่ายในการเรียน แต่ดันไม่อยากเรียน ไม่เข้าใจเลยว่า สวรรค์มักจะเล่นตลกกับคนเรา แต่ผมเข้าใจว่าถ้าเราเลี้ยงลูกให้รู้จักความสบายมากเกินไป มันก็จะชินกับความสบายจนคิดว่า ชีวิตนี้ไม่ทำอะไรก็ไม่อดตาย เพราะ มีพ่อแม่ค่อยดูแลตลอด
ผมลองมาเปรียบเทียบกับตัวเองในวัยเดียวกันกับน้องๆ เหล่านี้ มันแตกต่างกันมากๆ เลย อย่างผมเอง ในทุกๆ วันจะมีสิ่งที่ผมต้องทำซ้ำๆ กันและทำแบบนี้มาจนจบมัธยม เริ่มจากไปเรียน 7.30 – 14.30 น. จากนั้นกลับบ้าน รีบทำการบ้านให้เสร็จก่อน 17.00 น. จากนั้น เวลา 18.00 น. ของทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี มีเรียนพิเศษจนถึงเวลา 20.00 น. พอเสร็จจากการเรียนพิเศษก็มีแวะเที่ยวบ้างเล็กน้อย บางวันแม่จะมารับก็ไม่ได้เที่ยว ส่วนเสาร์อาทิตย์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรียนพิเศษตั้งแต่ บ่ายโมง จนถึง สี่โมงเย็น แทบจะไม่มีเวลาเล่นเลย ก็ผมเองไม่เคยเครียดเลยที่ทำแบบนี้ ผมสนุกกับการเรียน ร้านขายหนังสือคือที่ประจำของผมที่เข้าแทบทุกวัน แต่ผมคิดว่า ส่วนสำคัญของการที่ทำให้ผมมีความสุกับการเรียน การอ่านหนังสือนั้น มาจากการที่พ่อแม่ ของผมเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมโตมากับการอ่าน ตั้งแต่มองเห็นผมก็เห็นพ่อแม่ นั่งอ่านหนังสือแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ พ่อแม่ของหลายๆ คนความสำคัญกับการทำงานมากกว่าจะสนใจลูก ซึ่งผมสงเกตเห็นหลายครอบครัว เป็นแบบนี้ แทนที่เลิกงานมาจะถามเรื่องเรียน สอนการบ้านให้ลูก กลับไม่ได้สนใจอะไรลูกเลย แต่ผมโชคดีมากที่พ่อแม่ผม สนใจจะถามเรื่องเหล่านี้ แม้กระทั่งทุกวันนี้พ่อแม่ ยังถามเรื่องเหล่านี้อยู่ การที่พ่อแม่ถามเรื่องการเรียนของลูก ทำให้เราคิดว่า การเรียนนั้นสำคัญต่อเรามากแค่ไหน
แต่ผมมารู้ทีหลังอีกว่า ที่น้องๆ เค้าไม่ไปโรงเรียนในวันนั้นเพราะ เป็นวันที่เพื่อนคนหนึ่งในแก๊งเดียวกันจะแต่งงานในตอนเย็น ผมถึงกับตกใจอย่างแรง ผมพึ่งมารู้เอาตอนเย็นเพราะบ้านของน้องคนนั้นอยู่ถัดไปจากบ้านผมเพียง 5 หลังเท่านั้นเอง วันต่อมาผมเลยถามแม่ว่าทำไมเค้าถึงต้องการ แต่งงานเร็วขนาดนี้ แม่ผมเองก็ธรรมดาที่ไหน ไปถามพ่อแม่ของ น้องคนนั้นมาเรียบร้อย แม่บอกว่า พ่อแม่ของเค้าให้เหตุผลมาว่า พ่อแม่จน ไม่มีเงินส่งลูกเรียน เลยให้แต่งงานดีกว่า อีกอย่างน้องคนนั้นก็ท้องได้ 2 เดือนแล้ว (โอ้วแม่เจ้า !!!) อย่างงี่ใครไม่มีเงินเรียน ก็ต้องไปแต่งงานกันหมดสิ ถ้าคิดแบบนี้ นับว่าเ็นโชคดีของผมอีกเช่นกันที่ ที่พ่อแม่ พอจะมีเงินเลยได้เรียน ไม่งั้นคงได้แต่งงานไปนานแล้ว (555++ ขำๆ)
ผมเองก็ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กจึงคิดอยากมีครอบครัวตั้งแต่เด็ก เพราะคนในชุมชนพูดเป็นแต่เรื่องเดียว ยกตัวอย่างผมเองเจอกับตัว ปีนี้ผมกลับมาบ้าน 3 ครั้ง เฉลี่ยประมาน 2-3 เดือนครั้งพอกลับมาถึงบ้าน เวลาใครเห็นผมกลับบ้านจะถามแค่ไม่กี่คำถามหรอก มีเมียหรือยัง ? หรือไม่ก็ถามว่า ทำไมไม่พาแฟนกลับมาด้วย…!! จนผมรู้สึกว่า เฮ้ย !!! เรื่องมีครอบครัวมีเมียนี้มันกลายเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องหน้าที่การงาน และสุขภาพไปแล้วเหรอเนี่ย !!! หลายๆ ครั้งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งๆ ที่เทโนโลยีเค้าพัฒนากันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ทำไมความคิดของคนถึงไม่พัฒนาตาม หลายๆ คนยังมีความคิดที่ล้าหลัง ไม่ยอมเปิดความคิดให้กว้าง ลูกอยากเรียนจับแต่งงาน ส่งไปทำงานในเมืองกรุง พอมีลูกก็เอาลูกน้อยมาให้แม่เลี้ยงที่บ้าน สิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปตามชนบท ทั้งหมดนี้ผมคิดว่ามันมาจากการปลูกฝั่งที่ผิดๆ ของคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งชมชุนเอง
ซึ่งแม่ผมเคยพูดว่า สังคมไทยปลูกฝั่ง เด็กไทยแบบแปลกๆ ไม่ถูกวิธี เช่นบอกว่า อายุไม่ถึง 20 ไม่สามารถเข้าไปเที่ยวในพั่บในบาร์ได้ ซึ่งทำให้เด็กๆ คิดว่าเมื่อถึงอายุ 20 ปีแล้วทุกๆ คนก็สามารถไปเที่ยวพั่บเที่ยวบาร์ได้ พูดง่ายๆ เหมือนตั้งใจจะบอกเด็กๆ ว่า เมื่ออายุถึง 20 ปีให้ไปเที่ยวพั่บเที่ยวบาร์นะ แทนทีจะสอนว่าไม่ควรไปเที่ยว ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังเด็ก แม่ผมสอนมาแบบนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ ออกจะตลกด้วยซ้ำ แต่มา ณ ตอนนี้บอกได้เลยว่าผมเข้าใจ ว่าหลายๆ สิ่งพวกเราถูกปลูกฝั่งมาแบบผิดๆ หลายๆ สิ่งเราถูกสอนให้ทำ แต่ไม่ได้ถูกสอนว่าทำไปทำไม แม้แต่กระทั่งการเรียนก็ตาม บางวิชาเรียนหนักมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม อาจารย์ที่สอนก็ไม่เคยบอกว่า หลังจากเรียนวิชานี้ไปแล้ว พวกเราจะนำไปใช้ในด้านไหนได้บาง หรือทำไมต้องเรียนวิชานี้มันมีความสำคัญอะไรทำไมพวกเราถึงต้องเรียน แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ วิชาเรียนไปเพื่อสอบเข้ามหาลัยเท่านั้น ซึ่งผมเองก็งงว่า เรียนมาหลายต่อหลายปี ทำไมนำมาใช้ไม่ได้เลย ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าความรู้ที่มีไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้หรือว่าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้งานกันแน่
- คิดยังไงกับการเรียน ? ผมก่ะจะอธิบายประมานว่า คิดว่าเรื่องเรียนสำคัญไหม คิดยังไงกับเรื่องการที่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่น้องๆ เขาใจร้อนรีบตอบมาก่อน ซึ่งคำตอบเล่นเอาผมอึ้งไปพักใหญ่ๆ เลยครับ
ตอบ : ก็ไม่ต้องคิดอะไร ส่วนใหญ่ไปโรงเรียนก็ไม่ได้ค่อยเรียนหรอก แต่งตัวพอได้เงินจากพ่อแม่ (น้องๆบอกว่าได้เงินไปโรงเรียนไม่ต่ำกว่าวันละ 150-200 บาท จ๊ากเลย! ตอนเราเรียนได้ 50 บทยังใช้ไม่หมดเลย)
แต่ความจริงไม่เรียนก็ได้ ยังไงพ่อแม่ก็เลี้ยงดูได้อยู่ดี (ตอบมาได้อยากเข้าไปเดินเล่นในสมองของพวกเธอจริงๆ อยากรู้ว่ามันมีอะไรข้างใน)
- ไปโรงเรียน ทำไมไม่เข้าเรียน ?
ตอบ : ความจริงก็เข้าเรียนทุกคาบนะ แต่ส่วนใหญ่จะเข้าสาย เพราะเดินเรียน เลิกจากวิชาหนึ่งก็เดินเล่นไปก่อน ผ่านไป 30 นาทีค่อยเข้าห้องเรียน (แล้วมันจะได้ความรู้ไหมเนี่ย !!!)
- ถ้าไม่เข้าเรียน แล้วทำกิจกรรมอะไรกัน ?
ตอบ : ก็มีหลายอย่าง เช่น คุยโทรศัพท์กับแฟน (น้องๆ บอกว่ามีแฟนอยู่คนละโรงเรียน) เล่นไพ่และการพนันชนิดต่างๆ (ไม่มีดีสักอย่าง) หรือไม่ก็แอบกลับบ้านนอนดูหนังโป้ (ถึงกับอึ้งเลย ช่างกล้า !!!)
- หลักจากเลิกเรียนแล้วทำอะไรต่อ ?
ตอบ : ส่วนมากจะเอากระเป่ากลับไปเก็บที่บ้านแล้วก็ออกไปเล่นบ้านเพื่อน หรือไม่ก็คุยโทรศัพท์กับแฟนที่บ้าน ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่ออกไปขับรถเล่นกับเพื่อนมืดแล้วก็กลับ
- การบ้านทำตอนไหน ?
ตอบ : ก็ทำพรุ่งนี้ไง ตอนไปโรงเรียน ถ้าทำเสร็จทันก็ส่ง ไม่เสร็จก็ไม่ต้องส่ง (ซิวๆ ว่างั้น)
กลายเป็นเรื่องที่ไม่สมดุลไปซะแล้ว สำหรับปัญหา คนที่อยากเรียนบางคนไม่มีโอกาสได้เรียน แต่บ้างคนมีเงินทอง เกินพอที่จะนำมาใช้จ่ายในการเรียน แต่ดันไม่อยากเรียน ไม่เข้าใจเลยว่า สวรรค์มักจะเล่นตลกกับคนเรา แต่ผมเข้าใจว่าถ้าเราเลี้ยงลูกให้รู้จักความสบายมากเกินไป มันก็จะชินกับความสบายจนคิดว่า ชีวิตนี้ไม่ทำอะไรก็ไม่อดตาย เพราะ มีพ่อแม่ค่อยดูแลตลอด
ผมลองมาเปรียบเทียบกับตัวเองในวัยเดียวกันกับน้องๆ เหล่านี้ มันแตกต่างกันมากๆ เลย อย่างผมเอง ในทุกๆ วันจะมีสิ่งที่ผมต้องทำซ้ำๆ กันและทำแบบนี้มาจนจบมัธยม เริ่มจากไปเรียน 7.30 – 14.30 น. จากนั้นกลับบ้าน รีบทำการบ้านให้เสร็จก่อน 17.00 น. จากนั้น เวลา 18.00 น. ของทุกวันจันทร์ – พฤหัสบดี มีเรียนพิเศษจนถึงเวลา 20.00 น. พอเสร็จจากการเรียนพิเศษก็มีแวะเที่ยวบ้างเล็กน้อย บางวันแม่จะมารับก็ไม่ได้เที่ยว ส่วนเสาร์อาทิตย์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรียนพิเศษตั้งแต่ บ่ายโมง จนถึง สี่โมงเย็น แทบจะไม่มีเวลาเล่นเลย ก็ผมเองไม่เคยเครียดเลยที่ทำแบบนี้ ผมสนุกกับการเรียน ร้านขายหนังสือคือที่ประจำของผมที่เข้าแทบทุกวัน แต่ผมคิดว่า ส่วนสำคัญของการที่ทำให้ผมมีความสุกับการเรียน การอ่านหนังสือนั้น มาจากการที่พ่อแม่ ของผมเองเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ผมโตมากับการอ่าน ตั้งแต่มองเห็นผมก็เห็นพ่อแม่ นั่งอ่านหนังสือแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ พ่อแม่ของหลายๆ คนความสำคัญกับการทำงานมากกว่าจะสนใจลูก ซึ่งผมสงเกตเห็นหลายครอบครัว เป็นแบบนี้ แทนที่เลิกงานมาจะถามเรื่องเรียน สอนการบ้านให้ลูก กลับไม่ได้สนใจอะไรลูกเลย แต่ผมโชคดีมากที่พ่อแม่ผม สนใจจะถามเรื่องเหล่านี้ แม้กระทั่งทุกวันนี้พ่อแม่ ยังถามเรื่องเหล่านี้อยู่ การที่พ่อแม่ถามเรื่องการเรียนของลูก ทำให้เราคิดว่า การเรียนนั้นสำคัญต่อเรามากแค่ไหน
แต่ผมมารู้ทีหลังอีกว่า ที่น้องๆ เค้าไม่ไปโรงเรียนในวันนั้นเพราะ เป็นวันที่เพื่อนคนหนึ่งในแก๊งเดียวกันจะแต่งงานในตอนเย็น ผมถึงกับตกใจอย่างแรง ผมพึ่งมารู้เอาตอนเย็นเพราะบ้านของน้องคนนั้นอยู่ถัดไปจากบ้านผมเพียง 5 หลังเท่านั้นเอง วันต่อมาผมเลยถามแม่ว่าทำไมเค้าถึงต้องการ แต่งงานเร็วขนาดนี้ แม่ผมเองก็ธรรมดาที่ไหน ไปถามพ่อแม่ของ น้องคนนั้นมาเรียบร้อย แม่บอกว่า พ่อแม่ของเค้าให้เหตุผลมาว่า พ่อแม่จน ไม่มีเงินส่งลูกเรียน เลยให้แต่งงานดีกว่า อีกอย่างน้องคนนั้นก็ท้องได้ 2 เดือนแล้ว (โอ้วแม่เจ้า !!!) อย่างงี่ใครไม่มีเงินเรียน ก็ต้องไปแต่งงานกันหมดสิ ถ้าคิดแบบนี้ นับว่าเ็นโชคดีของผมอีกเช่นกันที่ ที่พ่อแม่ พอจะมีเงินเลยได้เรียน ไม่งั้นคงได้แต่งงานไปนานแล้ว (555++ ขำๆ)
ผมเองก็ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กจึงคิดอยากมีครอบครัวตั้งแต่เด็ก เพราะคนในชุมชนพูดเป็นแต่เรื่องเดียว ยกตัวอย่างผมเองเจอกับตัว ปีนี้ผมกลับมาบ้าน 3 ครั้ง เฉลี่ยประมาน 2-3 เดือนครั้งพอกลับมาถึงบ้าน เวลาใครเห็นผมกลับบ้านจะถามแค่ไม่กี่คำถามหรอก มีเมียหรือยัง ? หรือไม่ก็ถามว่า ทำไมไม่พาแฟนกลับมาด้วย…!! จนผมรู้สึกว่า เฮ้ย !!! เรื่องมีครอบครัวมีเมียนี้มันกลายเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องหน้าที่การงาน และสุขภาพไปแล้วเหรอเนี่ย !!! หลายๆ ครั้งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งๆ ที่เทโนโลยีเค้าพัฒนากันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ทำไมความคิดของคนถึงไม่พัฒนาตาม หลายๆ คนยังมีความคิดที่ล้าหลัง ไม่ยอมเปิดความคิดให้กว้าง ลูกอยากเรียนจับแต่งงาน ส่งไปทำงานในเมืองกรุง พอมีลูกก็เอาลูกน้อยมาให้แม่เลี้ยงที่บ้าน สิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปตามชนบท ทั้งหมดนี้ผมคิดว่ามันมาจากการปลูกฝั่งที่ผิดๆ ของคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งชมชุนเอง
ซึ่งแม่ผมเคยพูดว่า สังคมไทยปลูกฝั่ง เด็กไทยแบบแปลกๆ ไม่ถูกวิธี เช่นบอกว่า อายุไม่ถึง 20 ไม่สามารถเข้าไปเที่ยวในพั่บในบาร์ได้ ซึ่งทำให้เด็กๆ คิดว่าเมื่อถึงอายุ 20 ปีแล้วทุกๆ คนก็สามารถไปเที่ยวพั่บเที่ยวบาร์ได้ พูดง่ายๆ เหมือนตั้งใจจะบอกเด็กๆ ว่า เมื่ออายุถึง 20 ปีให้ไปเที่ยวพั่บเที่ยวบาร์นะ แทนทีจะสอนว่าไม่ควรไปเที่ยว ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังเด็ก แม่ผมสอนมาแบบนี้ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ ออกจะตลกด้วยซ้ำ แต่มา ณ ตอนนี้บอกได้เลยว่าผมเข้าใจ ว่าหลายๆ สิ่งพวกเราถูกปลูกฝั่งมาแบบผิดๆ หลายๆ สิ่งเราถูกสอนให้ทำ แต่ไม่ได้ถูกสอนว่าทำไปทำไม แม้แต่กระทั่งการเรียนก็ตาม บางวิชาเรียนหนักมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าเรียนไปทำไม อาจารย์ที่สอนก็ไม่เคยบอกว่า หลังจากเรียนวิชานี้ไปแล้ว พวกเราจะนำไปใช้ในด้านไหนได้บาง หรือทำไมต้องเรียนวิชานี้มันมีความสำคัญอะไรทำไมพวกเราถึงต้องเรียน แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ วิชาเรียนไปเพื่อสอบเข้ามหาลัยเท่านั้น ซึ่งผมเองก็งงว่า เรียนมาหลายต่อหลายปี ทำไมนำมาใช้ไม่ได้เลย ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าความรู้ที่มีไม่สามารถนำออกมาใช้งานได้หรือว่าไม่รู้วิธีนำออกมาใช้งานกันแน่
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
krapalm.com's Fan Box
krapalm.com on Facebook
About Me
- krapalm
- Bachelor of Science Program in Information and Communication Technology Faculty of Informatics, Mahasarakham University
Blog Archive
-
▼
2009
(120)
-
▼
ตุลาคม
(20)
- งานลอยกระทง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
- Copy ไฟล์ ข้ามวัน !!!
- สิ้้นสุดการรอค่อย Ubuntu 9.10 ปล่อยให้ดวาน์โหลดแล้...
- ประสบการณ์ของคุณตัดสินคนอื่นไม่ได้ !!!
- โดนอีกแล้ว Twitter is over capacity !!!
- หนังสือ : ความลับของสมอง ทำงานอย่างไรให้สมองมีความสุข
- About Me
- อะไรกันนักหนา !!!
- รอดตาย ก็เลยได้มาเล่าให้ฟัง !!!
- อำเภออัฉริยะ พัฒนาระบบบัตรคิวใช้เอง !!!
- แมนยู หนูแพ้ แงๆๆ !!!
- ในที่สุดก็ได้ฝึกงานสักที !!!
- บ้านผมโดนตุ๊กแกยืด !!!
- อนาคตของชาติจะฝากไว้กับใคร…? เมื่อเด็กอายุไม่ถึง 1...
- ร่วมยินดีกับนางงามจากเวที มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2009
- ร่วมโหวตคนเก่ง IT กับ BRANDS GAN ฉลาดคิดแบบคนรุ่น...
- ให้กราบ Teen ก็ยอม !!!
- สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก !
- วันที่ไม่มีจริง !
- กลวิธีมุงหน้าสู่ความสำเร็จ !
-
▼
ตุลาคม
(20)
1 ความคิดเห็น:
มีเรื่องที่ฟังแล้ว อาจจะดูตลก แต่เป็นเรื่องจริง คนสมัยโบราณเค้าแต่งงานกันตั้งแต่อายุไม่ถึง 18 ทางการแพทย์บอกว่า คนที่แต่งงานแล้วตั้งท้องตั้งแต่อายุน้อยกว่า 20 มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อยกว่าคนที่อายุมากแล้วแต่งงานแล้วมาท้องตอนแก่
ฉะนั้น คนโบราณจึงไม่ค่อยเป็นมะเร็งปากมดลูกเยอะเท่าในปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น